หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลมีแบบไหนบ้าง?
หลักสูตรการสอนของอนุบาลหลักๆ มีทั้งหมด 5 แบบ
1. หลักสูตรมอนเตสโซรี่ Montessori Approach
2. หลักสูตรเรกจิโอเอมิเลีย Regio Emilia Approach
5.หลักสูตรวอลดอร์ฟ Waldorf Approach
ผู้ปกครองท่านใดที่ยังสงสัยว่าลูกของเราเหมาะกับโรงเรียนแบบไหน หรือหลักสูตรแต่ละแบบต่างกันยังไง วันนี้ทางโรงเรียนมีคำตอบค่ะ
1. หลักสูตรแบบมอนเตสโซรี่ Montessori Approach
ถูกสร้างโดย มาเรีย มอนเตสซอรี—แพทย์ชาวอิตาลีช่วงปลายค.ศ.1800 ถือเป็นแนวคิดยุคแรกๆ ที่คิดว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงสอนเด็ก แต่ควรให้เด็กเติบโตตามธรรมชาติและความสามารถของเขา เด็กจึงเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้ ต้องมีห้องเรียน พื้นที่ อุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ข้อดี :
– มีความเชื่อว่าเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน จึงควรได้รับการยอมรับและพัฒนาในแบบของแต่ละคน
– เด็กจะเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว จึงควรจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้เหมาะกับการเรียนรู้
– คุณครูเป็นผู้สนับสนุน แนะนำ และสังเกตความสนใจของเด็ก โดยเปิดโอกาสให้เด็กแก้ปัญหาเอง และเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจอย่างอิสระ
– เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองตามความสนใจจากสิ่งแวดล้อม และเรียนรู้ผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมกลุ่ม ซึ่งใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5
– เปิดโอกาสให้เด็กทำงานในสถานการณ์และอุปกรณ์จริง เช่น ทำอาหาร ทำความสะอาด และช่วยเหลือตัวเอง ทำให้เด็กรู้จักรับผิดชอบ
– เด็กได้เรียนร่วมกับเพื่อนที่มีความแตกต่างกัน เพราะในแต่ละห้องเรียนจะจัดกลุ่มคละกันในห้อง
ยกตัวอย่างการเรียนในห้อง :
แบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆคือ
1) กลุ่มวิชาการ : เช่น วิชาคณิตศาสตร์หรือภาษา จะมีการใช้อุปกรณ์ต่างๆที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
2) กลุ่มประสาทสัมผัส : เน้นพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง5 ด้านของเด็ก
3) กลุ่มประสบการณ์ชีวิต : เน้นการฝึกให้เด็กๆรู้จักช่วยเหลือตัวเอง เช่นฝึกเก็บของ ล้างหน้า แปรงฟัน
2. เรกจิโอเอมิเลีย (Reggio Emilia)
ปัจจุบันแพร่หลายในสหรัฐอเมริกา หลักการโดยรวมคือสนับสนุนให้เด็กๆ สำรวจสิ่งรอบตัว โดยมีครูเป็นคนช่วย และเน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและสังคม
ข้อดี :
– แนวคิดก็คือการสร้างพลเมืองที่ดีและมีความรับผิดชอบต่อโลก
– เด็กๆ จะสื่อความเข้าใจ สิ่งที่เขาคิด อารมณ์ และความคิดสร้างสรรค์ผ่านการวาดภาพ การเต้น การเคลื่อนไหว การเล่น ดนตรี และอื่นๆ
– เน้นให้เด็กๆ มีการทำงานเป็นกลุ่ม ให้เด็กแต่ละคนมีส่วนร่วม เรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
– บทบาทของผู้ใหญ่คือสังเกต ฟังคำถาม และเรื่องราวของเด็กๆ เพื่อค้นหาสิ่งที่เขาสนใจ โดยครูคอยให้ความช่วยเหลือ
– ครูต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็ก ต้องมีลักษณะเป็นนักค้นคว้า นักวิจัย และนักสำรวจ
– มีสภาพแวดล้อม ที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ กระตุ้นให้เด็กๆ เกิดความสนใจในเรื่องต่างๆ
3. หลักสูตรแบบโครงการ Project Approach
คือการสอนให้เด็กศึกษาหัวขอใดหัวข้อหนึ่ง อย่างลึกซึ้งตามความสนใจของเด็ก เป็นการเรียนที่เปิดโอกาสให้เด็กสืบค้นข้อมูลด้วยตัวเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง เชื่อว่าเด็กวัยอนุบาลชอบสำรวจสืบค้น และสนุกสนานกับการเรียนรู้สิ่งรอบตัว การเรียนจึงเน้นให้โอกาสเด็กๆ ได้ศึกษาสิ่งรอบตัวที่สนใจ เป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากการเรียนรู้แบบเรกจิโอเอมิเลีย
ข้อดี :
– เป็นวิธีที่สอนให้เด็กรู้วิธีการเรียนรู้ (Learning to Learn) ทำให้สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองไปตลอดชีวิต และยังสอนวิธีการคิดรูปแบบต่างๆ (Learning to Think) ทำให้สามารถพิจารณาข้อมูลอย่างมีเหตุมีผล รู้จักนำข้อมูลมาเปรียบเทียบ วิเคราะห์ ได้ตามวัย เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง
– ครูจะช่วยบูรณาการกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศึกษา หรือสุขศึกษาเข้าไป ให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง
ตัวอย่างการเรียน เช่น
วิธีการเรียนของเด็กจะคล้ายกับวิธีที่เราทำโพรเจกต์ คือ
1)ขั้นเริ่มต้น: เด็กๆ บอกสิ่งที่ตัวเองสงสัย แล้วเลือกว่าจะศึกษาเรื่องอะไร มีครูให้คำแนะนำโดยไม่บอกคำตอบ แต่ให้เด็กคาดเดาคำตอบว่าน่าจะเป็นอะไร เอาไว้เปรียบเทียบทีหลัง
2)ขั้นรวบรวมข้อมูล: วางแผนไปสถานที่ต่างๆ หรือใช้หนังสือและสื่อต่างๆ เพื่อสำรวจสืบค้นให้ได้คำตอบ โดยมีครูช่วย มาให้ความรู้ และรายงานสิ่งที่ค้นพบจากกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเพื่อน
3)ขั้นสรุป: เด็กๆ นำสิ่งที่ค้นพบมาพูดคุย และจัดแสดงผลงานเพื่อแบ่งปันความรู้ อาจทำเป็นนิทรรศการหรือสมุดบันทึก
3. หลักสูตรวิถีพุทธ
คือหลักสูตรที่ใช้หลักธรรมคำสอนตามพระพุทธศาสนาในการพัฒนานักเรียน
ตัวอย่างการเรียน เช่น
มีการนำกิจกรรมทางพุทธศาสนามาใช้พัฒนาเด็กๆ เช่น ฝึกให้นักสมาธิ แผ่เมตตา ฟังนิทานธรรมมะใช้หลักสูตรแกนกลางของกระทรวงศึกษาธิการแต่ เน้นการบูรณาการตามหลักไตรสิขาและหลักศีล สมาธิ ปัญญา ในการพัฒนาความรู้ของเด็กๆ
4. หลักสูตรวอลดอร์ฟ Waldorf Approach
เป็นแนวคิดที่เชื่อในมนุษยนิยม ให้ความสำคัญกับจินตนาการ เน้นรักษาสมดุลและความเป็นธรรมชาติของวัยเด็ก ต้องการรักษาจิตวิญญาณและจิตใจของเด็ก เน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นกิจกรรมต่างๆ เช่น ศิลปะ การเคลื่อนไหว นิทาน ดนตรี
ข้อดี :
– คุณครูรู้จักเด็กให้ถึงลักษณะเฉพาะของแต่ละคน เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน และส่งเสริมให้เกิดแรงจูงใจจากข้างใน เพื่อให้เด็กเรียนรู้และค้นพบจุดแข็งและความสามารถตามธรรมชาติของเขา
– ไม่มีการสอนอ่านเขียน หรือคำนวณในระดับอนุบาล เด็กจะได้เรียนรู้ผ่านการเล่นและการทำกิจกรรมต่างๆ จะได้คิดและลงมือทำด้วยตัวเองทั้งกระบวนการ
– ปรัชญาของวอลดอร์ฟเน้นศิลปะ ดนตรี และการเล่น ซึ่งถือเป็นงานของเด็กเล็ก และให้ความสำคัญกับจินตนาการมาก
– สภาพแวดล้อมโรงเรียนให้ดูอบอุ่นและเป็นกันเองเหมือนบ้าน ด้วยของเล่นไม้ วัสดุจากธรรมชาติ และสีสันที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก
– ไม่ให้เด็กใช้สื่อต่างๆ และโทรทัศน์ก่อนวัยสมควร เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่กีดขวางจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
ยกตัวอย่างการเรียนในห้อง :
ใช้กิจกรรมศิลปะในการส่งเสริมวิชาการ เช่น สอนเขียนอักษรผ่านการวาดรูป สอนคำศัพท์ผ่านการอ่านนิทานหรือร้องเพลง
โรงเรียนสันติสุขวิทยา เป็นโรงเรียนที่สอนแบบ ผสมผสานระหว่าง Montessori, Project approach และ Role Playing approach
โรงเรียนมุ่งเน้นพัฒนาด้านต่างๆของเด็กเป็นหลัก เน้นการเรียนรู้โดยผ่านกิจกรรม การเล่น และการทำโปรเจคต่างๆ เน้นให้เด็กๆปฏิบัติที่เน้นลงมือทำด้วยตัวเอง ตามความสงสัยหรือความสนใจของเด็กๆ
Project Approach เรียนเนื้อหาสาระวิชาการต่างๆผ่านบทบาทสมมุติ
Role Playing เรียนเนื้อหาสาระวิชาการต่างๆผ่านบทบาทสมมุติ
Montessori Approach เรียนรู้อย่างอิสระตามความสนใจเเละต้องการของเด็กๆ